วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัดการจราจร การใช้บริการรถไฟฟ้า และ กติกาการแข่งขันลีลาศ

แบบฝึกหัด
     1. ข้อความต่อไปนี้ไม่ควรทำเมื่อใช้บริการรถไฟฟ้ายกเว้นข้อใด
               ก. รับประทานอาหาร
               ข. ยืนพิงประตู
               ค. ยืนพิงคนข้างๆ
               ง. ทดลองปุ่มที่ติดตั้งไว้
     2. ถ้ามิสเตอร์ต้าเหว่ยจะใช้บริการรถไฟฟ้า ซึ่งในขณะนั้นเวลา 4.00น. เขาจะต้องรออีกนานเท่าไรจึงจะใช้บริการได้
               ก. 60 นาที
               ข. 90 นาที
               ค. 120 นาที
               ง. 122 นาที
     3. ถ้ามิสเตอร์ต้าเหว่ยซื้อตั๋วโดยสารแบบเที่ยวเดียวได้แล้ว เขาจะผ่านช่องทางเข้าได้อย่างไร
               ก. แตะบัตรแล้วเดินผ่านไป
               ข. เสียบบัตรแล้วเดินผ่านไป
               ค. เสียบบัตรแล้วเดินผ่านโดยไม่ลืมรับบัตรคืน
               ง. กระโดดข้ามช่องทางเข้า
     4. ป้ายต่อไปนี้คือป้ายจราจรชนิดใด


               ก. ข้างหน้าทางขรุขระ
               ข. ป้ายเตือน
               ค. ป้ายบังคับ
               ง. ฝนตกถนนลื่น
     5. มิสเตอร์ต้าเหว่ยเห็นไฟจราจรเป็นสีเหลืองในแยกที่มีรถพลุกพล่านเขาขับรถมาเป็นคันแรกเขาควรทำเช่นไร
               ก. ขับเร่งเครื่องผ่านไปเพราะยังไงก็ไม่ชน
               ข. หยุดรถรอสัญญาณไฟเขียว
               ค. หยุดรถรอสัญญาณไฟแดง
               ง. หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน
     6. เมื่อพนักงานเป่านกหวีดให้สัญญาณยาวหนึ่งครั้ง มิสเตอร์ต้าเหว่ย ควรทำเช่นไร
               ก. ทำให้พนักงานเงียบ
               ข. หยุดรถทันที
               ค. ขับรถผ่านไป
               ง. หยิบนกหวีดขึ้นมาเป่าด้วย
     7. รถต่อไปนี้ไม่ควรใช้ขับในทาง ยกเว้นข้อใด
               ก. รถที่มีเสียงแตรดังในระยะน้อยกว่า 60 เมตร
               ข. รถที่ติดป้ายทะเบียนทำมือ
               ค. รถที่อุปกรณ์ไม่ครบตามกำหนด
               ง. รถถังของราชการ
     8. รุ่นการแข่งขันลีลาศต่อไปนี้รุ่นใดไม่มีอยู่จริง
               ก. รุ่นเยาวชน (Youth)
               ข. รุ่นผู้ใหญ่ (Adult)
               ค. รุ่นอาวุโส (Senior)
               ง. ไม่มีข้อใดถูก
     9. ข้อใดสำคัญที่สุดในการตัดสินให้คะแนนการแข่งขันลีลาศ
               ก. เวลาของจังหวะ และพื้นฐานจังหวะ (TIMING AND BASIC RHYTHM)
               ข. การเคลื่อนไหว (MOVEMENT)
               ค. การใช้เท้า (FOOT WORK)
               ง. ท่วงท่าความสง่างามของคู่เต้น
     10. การกระทำใดต่อไปนี้ทำให้เสียคะแนนในการแช่งขันลีลาศ
               ก. เต้นเข้าจังหวะ
               ข. เต้นช้ากว่าจังหวะเล็กน้อย
               ค. เต้นท่าหวาดเสียว
               ง. เต้นด้วยท่าที่ถูกต้องตามแบบ





เฉลย
1. ค     2. ค     3. ค     4. ข     5. ง     6. ข     7. ง     8. ง     9. ก     10. ข     


การใช้บริการรถไฟฟ้า

การใช้บริการรถไฟฟ้า
ข้อมูลทั่วไป
จุดให้บริการข้อมูลและบริการแลกเหรียญ จะตั้งอยู่ติดกับทางเข้า ซึ่งเราสามารถสอบถามได้ทั้งข้อมูลบริการต่าง ๆ ของรถไฟฟ้าบีทีเอส และข้อมูลสถานที่หลัก ๆ ของบริเวณสถานีนั้น ๆ ได้ หรือหากใครต้องการซื้อบัตรโดยสารแบบต่าง ๆ ก็ติดต่อที่นี่ได้เลยเช่นกัน

ประเภทของการใช้บริการรถไฟฟ้า
     1. บัตรสมาร์ทพาส เหมาะกับคนใช้บริการรถไฟฟ้าเป็นประจำ เพราะว่าราคาค่าใช้จ่ายต่อเที่ยวจะถูกกว่า แต่ผู้ใช้ต้องเคยเติมเงินเข้าไปในบัตรด้วย
     2. บัตรโดยสารแบบวัน-เดย์-พาส (ประเภทบัตรวันเดียว) สามารถใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว สิ้นสุดการใช้งานที่เวลาเที่ยงคืนของวันนั้น ๆ (ไม่ใช่ว่าใช้ได้ 24 ชั่วโมง ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนวันใหม่ บัตรนี้จะใช้งานไม่ได้แล้ว) ปัจจุบันราคา 130 บาท
     3. บัตรโดยสารแบบเที่ยวเดียว เป็นตั๋วโดยสารยอดฮิตสำหรับคนทั่วไป เหมาะสำหรับคนที่ใช้งาน BTS ไม่บ่อยนัก ตอนออกจากสถานนีรถไฟฟ้า เครื่องตรวจบัตรจะยึดบัตรคืนกลับไป

แผนที่ของทางเดินรถไฟฟ้า

แผนที่ทางเดินรถไฟฟ้า

การซื้อตั๋วแบบครั้งเดียว (ไม่ใช่บัตร)
      1. ดูแผนที่ตรงเครื่องขายตั๋ว เพื่อให้แน่ใจว่าจุดที่เราอยู่นั้นอยู่จุดไหน ซึ่งจะเป็นสีเขียวทึบและดูว่าสถานีจุดหมายปลายทางที่เรากำลังจะไปนั้นราคาเท่าไร โดยที่ราคาค่าตั๋วนั้นจะบอกอยู่ตรงแผนที่อยู่แล้ว ซึ่งหากเรามีเหรียญไม่พอจ่าย (เครื่องนี้รับเฉพาะเหรียญ 5 และ 10 เท่านั้น) ก็สามารถทำการแลกเหรียญได้ที่เค้าเตอร์ของเจ้าหน้าที่เลย (รูปแผนที่เปรียบเทียบจุดที่เราอยู่กับจุดอื่นที่บอกราคา)
     2. (สำหรับเครื่องขายนี่เป็นขั้นตอนที่ 1) กดปุ่มเพื่อบอกว่าเราต้องการซื้อตั๋วในราคาเท่าไร โดยที่ราคาจะเริ่มจาก 15 บาท เพิ่มขึ้นทีละ 5 บาทไปจนถึง 60 บาท เราจะสามารถซื้อตั๋วได้ทีละใบเท่านั้น หากต้องการซื้อหลายใบ พอได้ตั๋วใบแรกแล้วก็ค่อยมาเริ่มที่จุดนี้ใหม่อีกครั้ง
     3. ทำการหยอดเหรียญตามราคาที่เราเพิ่งกดเลือกไป อย่าลืมว่าเครื่องรับเฉพาะเหรียญ 5 กับ 10 เท่านั้น (เครื่องสามารถทอนเงินได้ เพราะฉะนั้นหากเราใส่จำนวนเงินเกินไปก็ไม่ต้องเป็นห่วง รอรับเงินทอนพร้อมตั๋วเดินทางได้เลย)
     4. เมื่อหยอดเงินครบจำนวนแล้ว ตั๋วจะเด้งออกมาจากเครื่องขายตั๋วประมาณครึ่งนึง เราก็ดึงออกมาได้เลย
     5. ถ้ามีเงินทอน ก็จะออกมาที่ช่องรับเงินทอนด้านล่าง
ตั๋วที่เราได้รับมานั้นจะมี เครื่องหมายบอกว่าให้เราสอดบัตรด้านไหน ส่วนใหญ่แล้วด้านหน้าจะมีรูปภาพหลากหลาย ส่วนด้านหลังจะมีเงื่อนไขการใช้ หรือไม่ก็แผนที่สถานีต่าง ๆ ของรถไฟฟ้าบีทีเอส วิธีการโดยสารด้วยรถไฟฟ้า
     6.เมื่อเราได้ตั๋วมาอยู่ในมือแล้ว ก็ตรงไปยังช่องทางเข้าเลย แต่ว่าแนวกั้นของทางเข้าและทางออกนั้นอยู่ในแนวเดียวกัน เพราะฉะนั้นให้สังเกตว่าช่องทางเข้านั้นจะมสีเครื่องหมายลูกศรสีเขียวอยู่ด้านหน้า ในขณะที่ช่องทางออกนั้นจะเป็นเครื่องหมายกากบาทสีแดง
     7. เมื่อเรามาถึงเครื่องตรวจตั๋วแล้ว เราก็สอดตั๋วเข้าไปในช่อง ซึ่งเมื่อใส่เข้าไปแล้วตั๋วจะเด้งออกมาจากช่องด้านบน จากนั้นเมื่อเราดึงตั๋วออก ที่กั้นก็จะเปิด (เมื่อดึงตั๋วออกแล้ว ให้รีบเดินเข้าไป เพราะถ้าช้าอาจจะโดนที่กั้นหนีบได้ ซึ่งคนที่เคยโดนบอกว่าเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียวถึงจะแค่เฉี่ยว ๆ ก็เถอะ) ตั๋วที่เราดึงออกมาก็ต้องเก็บไว้ใช้ตอนขาออกนั่นเอง
     8. เมื่อเข้ามาด้านในแล้ว ตรงนี้สำคัญมาก เพราะเราต้องดูว่าฝั่งไหนคือฝั่งไหนรถไฟฟ้าไปทางไหน โดยที่จะมีสถานีท้ายสุดเป็นตัวบอก เช่นฝั่งนึงไปอ่อนนุช และอีกฝั่งนึงไปหมอชิตเป็นต้น เพราะฉะนั้นแล้วเราจะต้องจำไว้ด้วยว่าสถานีสุดท้ายของเราคือสถานีอะไร เมื่อเราเลือกฝั่งที่จะไปได้แล้วก็เดินขึ้นไปได้เลย (ถ้าขึ้นผิดก็จะกลายเป็นนั่งรถไฟฟ้าไปผิดทาง แต่ไม่ต้องกังวลใจไปเพราะเราสามารถนั่งรถไฟฟ้ากลับมาได้ ตราบใดที่เรายังไม่ได้ออกจากสถานีไป เราก็ยังไม่ต้องซื้อตั๋วใหม่)
     9. เมื่อขึ้นมาแล้วจะเห็นว่าชั้นนี้เป็นชานชาลารถไฟฟ้า จะมีคนยืนรอขึ้นรถไฟฟ้าอยู่ ดูที่เครื่องหมายบนพื้นจะมีบอกว่าตรงนี้สำหรับคนจะเข้ารถไฟ ตรงนี้สำหรับคนจะออก เพื่อจะได้ไม่เกิดเกะกะคนที่จะออกจากรถไฟฟ้าเมื่อรถมาถึง (ตามมารยาทแล้วต้องให้คนออกจากรถโดยสารก่อนอยู่แล้ว)
     10. เมื่อคนออกหมดแล้วก็เข้าไปในรถไฟฟ้าได้เลย ด้านในจะมีที่นั่งสองฝั่ง กับพื้นที่ว่างให้ยืน ซึ่งจะมีห่วงและเสาไว้ให้ผู้โดยสารยึดด้วย เพราะรถจะวิ่ง ๆ หยุด ๆ เพราะต้องจอดตามสถานีต่าง ๆ ทำให้ทรงตัวค่อนข้างลำบาก ภายในรถไฟฟ้า บริเวณด้านบนของประตูเข้าออกแต่ละจุด จะมีแผนที่สถานีต่าง ๆ ของรถไฟฟ้าด้วย โดยที่จะมีเสียงคอยบอกเราว่าสถานีที่กำลังจะถึงนั้นคืออะไร (หากฟังไม่ค่อยชัด ให้ดูที่จอทีวีสำหรับโฆษณาก็ได้ เพราะใต้โฆษณาจะมีข้อมูลสถานีต่อไปบอก) อย่างไรก็ตามรถไฟฟ้าบางคัน จะมีสัญญาณไฟบอกด้วยว่าตอนนี้รถไฟฟ้าอยู่สถานีใด และกำลังจะไปสถานีไหนบ้าง ทำให้สะดวกกับผู้โดยสารไม่น้อยเลย
( นอกจากนั้นภายในรถไฟฟ้าจะมีทีวีไว้สำหรับโฆษณาด้วย ใครว่าง ๆ ก็นั่งดูไปเพลิน ๆ ให้ถึงที่หมายก็ได้)
     11. เมื่อถึงที่หมายเราก็เดินลงมาด้านล่างเพื่อออกจากสถานี แต่ว่าอาจจะต้องดูว่าทางออกไหนเหมาะกับจุดที่เราจะไปมากที่สุด จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินอ้อมไปอ้อมมา

กรณีซื้อตั๋วผิดสถานี (ซื้อตั๋วราคาถูกกว่าราคาจริง) สามารถแจ้งได้ที่เจ้าหน้าที่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะขอเก็บเงินเราเพิ่ม เราจึงจะออกจากสถานีได้

คำเตือน อย่างที่รู้กันว่าถ้าเราไม่เดินออกจากสถานี เราก็นั่งรถไฟฟ้าไปไหนมาไหนได้ ซึ่งบางคนก็เลือกที่จะนั่งรถไฟฟ้าไปเพลิน ๆ แล้วจึงมาออกจากสถานีที่ต้องการ การทำแบบนี้ไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่ว่าในปัจจุบันหากเราอยู่ในระบบรถไฟฟ้าเกิน 120 นาที เราจะโดยเบี้ยปรับเกินเวลาด้วย ซึ่งอยู่ที่ 40 บาท

การสลับสายรถไฟฟ้า ทำได้ที่สยาม โดยที่จะมี platform ให้เราเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าสายอื่น (แต่ต้องดูให้ดีว่ารถไฟฟ้าที่เราจะต้องขึ้นนั้น จะวิ่งไปทางไหน) จุดนี้อาจทำให้คนสับสนได้เหมือนกัน (อาจจะต้องบอกว่ามีสองชั้น ทำผังว่าชั้นไหนไปทางไหน)

ตัวอย่างวิดีโอการใช้รถไฟฟ้า


อ้างอิง
http://www.pattayaconcierge.com/th/bangkok/info/bts-sky-train.php
www.geocities.ws/railsthai/servicebts.htm‎l
www.bts.co.th/corporate/th/02-system-safety02-1.aspx‎
www.bts.co.th/customer/th/01-ticket_room.aspx‎


วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เกณฑ์การตัดสินการแข่งขันกีฬาลีลาศ

เกณฑ์การตัดสินการแข่งขันกีฬาลีลาศของสหพันธ์กีฬาลีลาศนานาชาติ
เกณฑ์การตัดสิน
      1.ข้อในการวินิจฉัย ( Fields of Adjudication )
          1.1 เวลาของจังหวะ และพื้นฐานของจังหวะ ( Timing and Basic Rhythm )
          1.2 ทรงของลำตัว ( Body Line )
          1.3 การเคลื่อนไหว ( Movement )
          1.4 การแสดงที่บอกจังหวะ ( Rhythmic Interpretation )
          1.5 การใช้เท้า ( Foot Work )

ในการเต้นรำทุกประเภท เวลาของจังหวะและพื้นฐานของจังหวะ จะใช้เป็นขั้นตอนแรกที่ใช้ประกอบคำวินิจฉัย ครอบคลุมข้ออื่นๆ ถ้าคู่แข่งขันทำผิดซ้ำๆ กันในข้อนี้ จะต้องถูกตัดสินให้อยู่ในตำแหน่งที่สุดท้าย ในจังหวะนั้นๆ สำหรับข้อวินิจฉัย 2 ถึง 5 มีความสำคัญเท่าๆกัน ซึ่งไม่มีข้อใดที่มีความสำคัญมากไปกว่ากัน


กฏเกณฑ์พื้นฐาน ( Basic Rules )
การวินิจฉัยคู่แข่งขัน จะเริ่มต้นทันทีที่เข้าสู่การเตรียมพร้อมที่จะเต้น และสิ้นสุดลงเมื่อดนตรีหยุด กรรมการจะต้องเช็คผลการให้คะแนน ที่ได้ให้ไปแล้วทั้งหมด และแก้ไขให้ถูกต้องได้ถ้าจำเป็น หากคู่แข่งขันไม่ดำเนินการเต้นอย่างต่อเนื่อง จะถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งสุดท้าย และถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตอนท้าย คู่แข่งขันจะถูกตัดสินว่าขาดคุณสมบัติ (เป็นโมฆะ) คู่แข่งขันจะถูกวินิจฉัยในการแสดงและการเต้น แต่ละจังหวะแยกออกจากกัน การเต้นของจังหวะที่ได้ตัดสินไปแล้วนั้น ไม่นำมารวมวินิจฉัยรวมกับจังหวะอื่น กรรมการตัดสินอยู่ภายใต้ข้อบังคับไม่ให้ชี้แจงเหตุผล ข้อวินิจฉัยของคู่แข่งขันที่ได้ให้ไปแล้ว ระหว่างการแข่งขันหรือเวลาหยุดพักช่วงการแข่งขัน กรรมการตัดสินจะไม่วิจารณ์หรือพูดคุยปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการเต้นหรือการแสดงต่างๆ กับผู้เข้าแข่งขันทั้งสิ้น

การอธิบายเกี่ยวกับข้อที่ใช้ประกอบคำวินิจฉัย
     1.เวลาและพื้นฐานของจังหวะ ( Timing and Basic Rhythm ) 
ผู้ตัดสินต้องตัดสินว่า คู่แข่งขันเต้นถูกต้องตรงกับจังหวะดนตรี และพื้นฐานของจังหวะหรือไม่? การเต้น "ตรงจังหวะ" หมายความถึง การเต้นที่ไม่ก่อนหรือหลังจังหวะดนตรี แต่ตรงกับจังหวะดนตรีพอดี 
       พื้นฐานของจังหวะ ( Basic Rhythm ) หมายความถึง การแสดงการเต้น ภายในเวลาที่จัดไว้ให้เช่น (ช้า หรือ เร็ว) และรักษาความสัมพันธ์ของเวลาการเต้น จากท่าหนึ่งไปยังอีกท่าหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
       ผลของการเต้นไม่ตรงจังหวะดนตรี และพื้นฐานจังหวะ คู่แข่งขันจะได้คะแนนต่ำสุดในจังหวะที่ทำการเต้น การกระทำผิดข้อนี้ ไม่สามารถทดแทนที่ดีในข้อประกอบการวินิจฉัยข้อ 2 ถึง 5 ได้ 
      ถ้ามีคู่แข่งขันหลายคู่เต้นไม่ตรงจังหวะ ข้อวินิจฉัย 2 ถึง 5 อาจถูกนำมาใช้ประกอบการวินิจฉัย ในการจัดอันดับขั้นของคู่แข่งขันเหล่านั้น คู่แข่งขันที่ไม่ทำผิดจังหวะและพื้นฐานของจังหวะ จะถูกจัดอันดับให้อยู่เหนือคู่อื่น
     2. ทรงของลำตัว ( Body Line )
      ทรงหรือแนวเส้นของตัว มีความสัมพันธ์ต่อคู่แข่งขันทั้งสองร่วมกัน ในระหว่างการเคลื่อนไหว และการทำท่าเต้นต่างๆ ของการเต้นในแต่ละจังหวะ
        การวินิจฉัยท่าต่างๆ ที่เกี่ยวกับทรงของตัวมี ดังนี้
          1. เส้นแขน ( Arm Line )
          2. เส้นหลัง ( Back Line )
          3. เส้นหัวไหล่ ( Shoulder Line ) 
          4. เส้นสะโพก ( Hip Line ) 
          5. เส้นขา ( Leg Line ) 
          6. เส้นคอและศีรษะ ( Neck and Head Line ) 
          7. เส้นขวาและซ้าย ( Right and Left Side Line )
     3. การเคลื่อนไหว ( Movement )
กรรมการตัดสิน จะต้องตัดสินจากการเคลื่อนไหวที่รักษาลักษณะ และเอกลักษณ์ของจังหวะที่เต้น (Charecter of Dance) และพิจารณาจากการขึ้นและลง (Rising and Lowering) รวมทั้งการสวิง (Swing) และการทรงตัวที่สมดุลย์ของทั้งคู่ การเต้นที่มีแรงสวิงมากกว่า จะได้คะแนนที่สูงกว่า แต่ต้องประกอบด้วยการทรงตัวที่สมดุลย์ (balance) การเต้นรำในแบบ Latin American การเคลื่อนไหวและการใช้สะโพก ( Hip Movement ) จะถูกให้เป็นหลักในการประเมิน
     4. การแสดงที่บอกจังหวะ ( Rhythmic Interpretation )
กรรมการตัดสินจะประเมินการ ตามจังหวะของการเต้น ที่แสดงให้เห็นถึงศิลปะการออกแบบของกลุ่มสเต็ป ( Artistic Choreography ) และดนตรีที่ใช้ประกอบ ( Musical Involvement ) ของทั้งคู่ การเปลี่ยนจังหวะเพื่อให้สอดคล้องกับดนตรี จะต้องระวังความผิดพลาดเกี่ยวกับเวลา เพราะจะถูกตัดสินให้ผิดตามส่วนของ "เวลา" และพื้นฐานของจังหวะ ( Timing and Basic Rhythm )
      5. การใช้เท้า ( Foot Work )
ผู้ให้การวินิจฉัยจะต้องประเมินจากการ ใช้ปุ่มโคนหัวแม่เท้าที่ถูกต้อง รวมถึงการใช้ส้นเท้าและปลายเท้า การเคลื่อนไหวและท่าทางต่างๆ เช่น การชิดเท้า และการควบคุมการเคลื่อนไหวของเท้า

การแบ่งระดับชั้นของผู้เข้าแข่งขัน
ในกลุ่มนักกีฬาลีลาศที่เข้าร่วมการแข่งขันถูกแบ่งออกตามกลุ่มอายุและระบบแบ่งชั้น แล้วจะถูกจัดให้แล้วแต่ความตกลงใจว่า จะเข้าร่วมในชั้นใด
การแบ่งตามกลุ่มอายุ ( Age Groups )
     รุ่นยุวชน ( Juveniles ) คือ ผู้เข้าแข่งขัน ที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี
     รุ่นเด็ก ( Juniors) คือ ผู้เข้าแข่งขัน ที่มีอายุสูงกว่า 12 ปี แต่ไม่เกิน 16 ปี
     รุ่นหนุ่ม สาว( Youths) คือ ผู้เข้าแข่งขัน ที่มีอายุสูงกว่า 16 ปี แต่ไม่เกิน 19 ปี
     รุ่นผู้ใหญ่ ( Adults) ระดับชั้นนี้ ยังแยกย่อยไปตามกลุ่มอายุได้อีก อาทิเช่น 16 - 35ปี , 35 - 50ปี หรือ 60 ปี



การแบ่งตามระดับชั้น ( Grading )
แต่ละประเทศจะมีระบบที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกประเภทมีการประเมินการแสดงออก และโปรโมทให้ระดับหรือชั้นสูงขึ้น คำอธิบายข้างล่าง เป็นระบบการแบ่งชั้นในบางส่วนของยุโรป
คู่แข่งขัน เริ่มต้นจากขั้นต่ำสุด
      ชั้น D หรือ C คู่แข่งขันในระดับนี้ เต้นได้แต่สเต็ปพื้นฐานเท่านั้น
      ชั้น A หรือ B การเลื่อนชั้นจะต้องเกิดจากการสะสมคะแนน ที่ได้จากการแข่งขัน
      ชั้น S คู่แข่งขันระดับสูงสุด ถือเป็นมาตรฐานระดับนานาชาติ
การแข่งขันชิงชนะเลิศระดับนานาชาติ ( International Championship ) ถูกจัดขึ้นทุกปี และผู้ชนะเลิศในแต่ละชั้น จะได้รับการเลื่อนชั้น ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ผู้ชนะเลิศในระดับสูงสุด จะถูกจารึกให้เป็นผู้ชนะเลิศแห่งชาติ ระดับชั้นของการลีลาศแต่ละแบบ จะไม่มีผลต่อการเลื่อนชั้นของแบบอื่น


ระบบการพิจารณาตรวจเทียบคะแนน ( Skating System ) ของการแข่งขันกีฬาลีลาศ
ระบบมาตรฐานของการให้คะแนนและการวิเคราะห์คะแนน มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการแข่งขันกีฬาลีลาศ สภารัฐบาลนานาชาติ ซึ่งควบคุมการแข่งขันของนักกีฬาลีลาศ ทั้งของอาชีพและสมัครเล่นระบุว่า ควรใช้ระบบสเก็ตติ้ง ( Skating System ) พื้นฐานของระบบ คือ การใช้เสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก ( Majority )  ( ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกีฬาสเก็ตน้ำแข็ง )
คะแนนตัดสินจากกรรมการจะถูกผ่านไปให้คณะผู้ให้การพิจารณาตรวจเทียบคะแนน เพื่อจัดอันดับของผู้เข้าแข่งขันให้สมบูรณ์ ต้องมีความระมัดระวัง เพราะไม่ใช่เป็นการตรวจเพียงครั้งเดียว เนื่องจากการมีคณะกรรมการหลายคน ซึ่งแต่ละคนต่างใช้วิจารณญาณของตนเอง จึงเกิดมีความเห็นที่แตกต่าง จึงมีความเห็นแตกต่างของผู้ตัดสิน รวมทั้งอาจมีคะแนนที่เท่ากัน ซึ่งต้องใช้รายละเอียดของระบบสเก็ตติ้งเป็นข้อวินิจฉัย ข้อเรียกร้องพิเศษของการแข่งขัน ของสหพันธ์ลีลาศนานาชาติ IDSF ถือในรอบสุดท้าย ''Final Round" คะแนนจะต้องเปิดเผย (Visaul Marking)

วิธีการให้คะแนนของคณะกรรมการตัดสิน
ในรอบแรก (First Round) ถึงรอบรองชนะเลิศ (Semi Final) กรรมการตัดสินจะให้คะแนนโดยการคัดเข้ารอบ (Marking) โดยการกาลงบนหมายเลขที่ต้องการในใบให้คะแนน (Marking Sheet) ยกตัวอย่างเช่น "รอบรองชนะเลิศ" ซึ่งมีคู่เข้าแข่งขันทั้งหมดจำนวน 12 คู่ จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม (2 Heats) กลุ่มละ 6 คู่ กรรมการจะทำการตัดเข้ารอบ เพื่อเข้าแข่งขันในรอบสุดท้าย (Final) จำนวน 6 คู่ โดยเลือกจากคู่ที่เด่นที่สุดในสายตา เข้ามาทีละคู่จนได้ครบ 6 คู่ตามจำนวน คู่แข่งขันที่ไม่ได้รับการคัดเลือกจะถูกตัดทิ้งไป
ในรอบสุดท้าย ซึ่งเป็นการให้คะแนนแบบเปิดเผย (Visual Marking) การให้คะแนนจะเป็นการให้ลำดับที่ (Placing) กรรมการจะเริ่มมองหาคู่ที่ด้อยที่สุด คือ อันดับที่ 6 ก่อน แล้วต่อมาเป็นอันดับที่ 5 , 4 , 3 , 2 และ 1 ตามลำดับ หลังจากที่การแข่งขันสิ้นสุดลงในแต่ละจังหวะ กรรมการจะชูป้ายคะแนนของตน เพื่อโชว์คะแนนที่ให้ไว้กับคู่แข่งขันในแต่ละคู่ หมายเลข 6 คืออันดับสุดท้าย และหมายเลข 1 คือผู้ชนะเลิศ
ท่านผู้ชมอาจฝึกการให้คะแนน ตามวิธีการที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ โดยศึกษาประวัติความเป็นมาและเอกลักษณ์เฉพาะของการเต้นรำ ในแต่ละประเภท แต่ละจังหวะ และเกณฑ์การตัดสินของสหพันธ์กีฬาลีลาศนานาชาติ แล้วลองเทียบเคียงดูกับผลของการแข่งขันกีฬาลีลาศ ซึ่งจะทำให้ได้รับความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น

เครื่องแต่งกายนักกีฬาลีลาศ
ความแตกต่างระหว่างประเภท Standard กับ Latin American
หลายคนที่รู้จักการลีลาศมานาน อาจเกิดคำถามในใจประการหนึ่ง เกี่ยวกับการแต่งกายของฝ่ายหญิง ว่าทำไมจึงแตกต่างกัน ระหว่าง 2 ประเภทของการเต้นรำ คำตอบก็คือ การแต่งกายของฝ่ายหญิง ประเภท Standard นั้น ต้องการความหรูหราและสง่างาม ตามลักษณะการเคลื่อนไหว ท่วงท่าที่ดูแล้วนุ่มนวล พริ้วไหวไปตามจังหวะโรแมนติกของลีลาศสไตล์นี้ และเน้นการเคลื่อนไหวที่เป็นคู่ เครื่องแต่งกายฝ่ายหญิงที่ปรากฏ ส่วนใหญ่จึงมีขนนก ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนพลิ้ว ส่วนฝ่ายชายนั้น เน้นความสุภาพสง่างาม จึงแต่งเป็นทักซิโด

เครื่องแต่งกายประเภท Standard
ส่วนการแต่งกายประเภท Latin American นั้น ต้องการความคล่องตัว กระฉับกระเฉง ตามท่วงทำนองจังหวะที่เร้าใจ สนุกสนาน และเน้นให้เห็นการเคลื่อนไหว การใช้กล้ามเนื้อของลำตัว โดยเฉพาะสะโพก และ Lines ของแขน ขา เครื่องแต่งกายที่ปรากฏ จึงดูกระชับแนบชิดลำตัวเป็นส่วนใหญ่ และไม่รุ่มร่าม ส่วนการแต่งกายของฝ่ายชายนั้น เน้นความคล่องตัวเช่นกัน และใช้เฉพาะสีดำหรือกรมท่าเข้มเป็นหลัก

เครื่องแต่งกายประเภท Latin American
ตัวอย่างการแข่งขันลีลาศ


อ้างอิง
http://www.youtube.com/watch?v=0cYAOskFoBY
www.leelart.com/03rule/idsf/criteria%20for%20judging.htm‎
www.tdsa.or.th/04rules/criteria_for_judging.htm‎
www.mwit.ac.th/~jat/contents/40206/Rule%20Dance.pdf‎

การจราจร

การจราจร

ความหมายของการจราจร
พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน
[จะราจอน] น. การที่ยวดยานพาหนะ คน หรือ สัตว์พาหนะเคลื่อนไปมาตามทาง, เรียกผู้มีหน้าที่เกี่ยวด้วยการนั้น; (กฎ) การใช้ทางของผู้ขับขี่ คนเดินเท้า หรือคนที่จูง ขี่ หรือไล่ต้อนสัตว์.

ป้ายจราจร
ป้ายจราจรเป็นป้ายทางการควบคุมจราจร แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
     1. ป้ายบังคับ มักจะมีพื้นสีขาว ขอบสีแดง เป็นป้ายกำหนด ต้องทำตาม เช่น ห้ามเลี้ยวขวา

ป้ายบังคับ

     2. ป้ายเตือน มักจะมีพื้นสีขาว ขอบสีดำ จะเป็นป้ายแจ้งเตือนว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า
     3. ป้ายแนะนำ เป็นป้ายที่แนะนำการเดินทางต่างๆ อาทิ ทางลัด ป้ายบอกระยะทาง เป็นต้น

ป้ายเตือนและป้ายแนะนำ
เครื่องหมายบนพื้นทาง
เครื่องหมายบนพื้นทาง คือ สัญลักษณ์ที่ปรากฎอยู่บนพื้นถนนใช่ควบคุมการเดินรถ ได้แก่
1. เส้นแบ่งทิศทางจราจรปกติ ให้ขับรถในด้านซ้าย เลี้ยวขวาหรือแซงหน้ารถคันอื่นได้เมื่อปลอดภัย

เส้นแบ่งทิศทางจราจรปกติ
2. เส้นแบ่งทิศทางจราจรเตือน ให้ทราบว่าจะถึงเขตทางข้าม แยก เขตห้ามแซง เว้นแต่จะเปลี่ยนเส้นทางเดินรถ หรือกลับรถ ขับข้ามเส้นได้แต่ต้องระวังเป็นพิเศษ (สังเกตุดูจะเห็นว่าเส้นจะยาวกว่า เส้นแบ่งทิศทางจราจรปกติ)
เส้นแบ่งทิศทางจราจรเตือน
3. เส้นแบ่งทิศทางจราจรคู่ (เส้นประคู่เส้นทึบ) รถทางเส้นประอาจข้ามหรือแซงได้เมื่อปลอดภัย

เส้นแบ่งทิศทางจราจรคู่
4. เส้นแบ่งทิศทางจราจรห้ามแซงคู่ (เส้นทึบคู่) ห้ามขับรถผ่าน ขับรถคร่อมเส้น ห้ามแซงโดยเด็ดขาด ทั้งสองทิศทาง
เส้นแบ่งทิศทางจราจรห้ามแซงคู่
5. เส้นแบ่งช่องเดินรถปกติ ให้ขับรถในช่องเดินรถ ห้ามขับคร่อมเส้นหรือทับเส้น เว้นแต่จะเปลี่ยนช่องเดินรถหรือกลับรถ
เส้นแบ่งช่องเดินรถปกติ
6. เส้นแบ่งช่องเดินรถเตือน แสดงให้ทราบว่าใกล้จะถึงเส้นแบ่งช่องเดินรถห้ามแซง ห้ามขับคร่อมเส้นช่องเดินรถ เว้นแต่จะเปลี่ยนช่องเดินรถ

เส้นแบ่งช่องเดินรถเตือน
7. เส้นแบ่งช่องเดินรถห้ามแซง ห้ามแซงโดยเด็ดขาด ห้ามขัลรถผ่านหรือคร่อมเส้น หรือกลับรถ

เส้นแบ่งช่องเดินรถห้ามแซง
8. เส้นขอบทาง ให้ขับรถในช่องทางจราจรด้านขวาของเส้น

เส้นขอบทาง
9. เส้นแบ่งเดินรถประจำทาง รถประจำทางหรือรถบรรทุกคนโดยสารที่อธิบดีกรมตำรวจกำหนด ให้ใช้ช่องทางเดินรถด้านซ้ายของเส้นนี้ รถประเภทอื่นห้ามขับผ่านเข้าไปในช่องนี้

เส้นแบ่งช่องเดินรภประจำทาง
10. เส้นแบ่งภายในช่องเดินรถประจำทาง ให้รถประจำทางหรือรถที่กำหนดวิ่งในช่องทางได้ทั้ง 2 ช่อง ทั้งซ้ายและขวาของเส้นนี้

เส้นแบ่งภายในช่องเดินรถประจำทาง
11. เส้นแบ่งช่องเดินรถประจำทางสามารถข้ามผ่านได้ รถประจำทางหรือรถบรรทุกคนโดยสารที่อธิบดีกรมตำรวจกำหนด ให้ใช่ช่องเดินรถทางด้านซ้าย ของเส้นนี้ รถประเภทอื่นให้ขับผ่านได้กรณีจะเข้าออกจากซอยหรือเลี้ยว
เส้นแบ่งช่องเดินรถประจำทางสามารถข้ามผ่านได้
12. จุดเริ่มต้นช่องเดินรถประจำทาง รถประจำทางหรือรถบรรทุกคนโดยสารที่อธิบดีกรมตำรวจกำหนด ให้ผ่านเข้าไปในช่องเดินรถประจำทางหลังจุดนี้ รถประเภทอื่นห้ามขับเข้าไปในช่องเดินรถประจำทางหลังจุดนี้
จุดเริ่มต้นช่องเดินรถประจำทาง
13. เส้นแนวหยุด ให้ผู้ขับรถหยุดรถก่อนถึงแนวเส้นขวางทุกครั้งเพื่อดูจังหวะรถว่างหรือรอให้คนข้าม ในทางข้ามข้างหน้าผ่านไปก่อนเมื่อปลอดภัยจึงขับรถผ่านไป

เส้นแนวหยุด
14. เส้นให้ทาง เป็นเส้นประสีขาวข้ามถนนให้ผู้ขับขี่ขับรถให้ช้าลง แล้วดูให้รถอื่นที่ออกจากทางร่วม หรือคนเดินเท้าในทางข้ามที่ขวางหน้าผ่านไปก่อน เห็นปลอดภัยแล้วจึงขับรถผ่านไป

เส้นให้ทาง
15. เส้นทะแยงสำหรับทางแยก เป็นเส้นทึบสีเหลืองลากทะแยงมุม ห้ามหยุดรถทุกชนิดภายในกรอบเส้นทะแยงนี้
เส้นทะแยงสำหรับทางแยก

สัญญาณไฟจราจร
สัญญาณไฟจราจร เป็นอุปกรณ์สัญญาณไฟที่ปรากฏตามสี่แยกต่าง ๆ เพื่อแสดงสัญญาณให้กับคนขับรถและคนเดินเท้า สีที่ปรากฏบนสัญญาณไฟจราจร มีความหมายดังนี้

     สีเขียว  
ให้ผู้ขับขี่ขับรถต่อไปได้ เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

     สีเหลืองอำพัน 
ให้ผู้ขับขี่เตรียมหยุดรถหลังเส้นให้หยุด เพื่อเตรียมปฏิบัติตามสัญญาณที่จะปรากฏ   ต่อไป เว้นแต่ผู้ขับขี่ได้เลยเส้นให้หยุดไปแล้วให้เลยไปได้

     สีแดง 
ให้ผู้ขับขี่หยุดรถหลังเส้นให้หยุดรถ

สัญญาณไฟจราจร
     สัญญาณจราจรไฟสีแดงแสดงพร้อมกับลูกศรสีเขียวให้เลี้ยวหรือชี้ให้ตรงไป ให้ผู้ขับขี่เลี้ยวรถหรือขับตรงไปได้ตามทิศทางที่ลูกศรชี้    ในการใช้ทางตามที่ลูกศรชี้ ผู้ขับขี่ต้องใช้เส้นทางด้วยความระมัดระวัง และต้องให้สิทธิแก่คนเดินเท้าในทางข้าม หรือผู้ขับขี่ที่มาทางขวาก่อน

     สัญญาณจราจรไฟกะพริบสีแดง ถ้าติดตั้งอยู่ที่ทางร่วมทางแยกใด และเปิดทางด้านใดให้ผู้ขับขี่ที่มาทางด้านนั้นหยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการจราจรแล้ว จึงให้ขับรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง

     สัญญาณจราจรไฟกะพริบสีเหลืองอำพัน ถ้าติดตั้งอยู่ ณ ที่ใด ให้ผู้ขับขี่ลดความเร็วรถลง และผ่านทางเดินรถนั้นไปด้วยความระมัดระวัง    ผู้ขับขี่ซึ่งจะขับรถตรงไป ต้องเข้าอยู่ในช่องเดินรถที่มีเครื่องหมายจราจรแสดงให้ตรงไป ส่วนผู้ขับขี่ที่จะเลี้ยวรถ ต้องเข้าอยู่ในช่องเดินรถที่มีเครื่องหมายแสดงให้เลี้ยว   การเข้าอยู่ในช่องเดินรถดังกล่าว จะต้องเข้าตั้งแต่เริ่มมีเครื่องหมายแสดงให้ปฏิบัติเช่นนั้น

ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงให้ปรากฏข้างหน้าในกรณีต่อไปนี้
     1. เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และเหยียดแขนซ้ายออกไปเสมอระดับไหล่ ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาทางด้านหลังของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องหยุดรถ แต่ถ้าหนักงานเจ้าหน้าที่ลดแขนข้างที่เหยียดออกไปนั้นลงและโบกมือไปข้างหน้า ให้ผู้ขับขี่ซึ่งหยุดรถอยู่ทางด้านหลังขับรถผ่านไปได้           
     2. เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และเหยียดแขนข้างใดข้างหนึ่งออกไปเสมอระดับไหล่และตั้งฝ่ามือขึ้น ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาทางด้านที่เหยียดแขนข้างนั้นของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องหยุดรถ แต่ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่พลิกฝ่ามือที่ตั้งอยู่นั้น แล้วโบกผ่านศีรษะไปทางด้านหลัง ให้ผู้ขับขี่ซึ่งหยุดรถอยู่นั้นขับผ่านไปได้    
     3. เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และเหยียดแขนทั้งสองข้างออกไปเสมอระดับไหล่และตั้งฝ่ามือขึ้น ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาทางด้านที่เหยียดแขนทั้งสองข้างของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องหยุดรถ
     4. เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และยกแขนขวาท่อนล่างตั้งฉากกับแขนท่อนบนและตั้งฝ่ามือขึ้น ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาทางด้านหน้าของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องหยุดรถ แต่ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่พลิกฝ่ามือที่ตั้งอยู่นั้น โบกไปด้านหลัง ให้ผู้ขับขี่ซึ่งหยุดรถทางด้านหน้าของพนักงานเจ้าหน้าที่ขับรถผ่านไปได้
     5. เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยืน และยกแขนขวาท่อนล่างตั้งฉากกับแขนท่อนบนและตั้งฝ่ามือขึ้น ส่วนแขนซ้ายเหยียดออกไปเสมอระดับไหล่ ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถมาทางด้านหน้าและด้านหลังของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องหยุดรถ การหยุดรถให้หยุดหลังเส้นให้หยุด ในกรณีที่ทางเดินรถใดไม่มีเส้นให้หยุด ให้ผู้ขับขี่หยุดรถห่างจากพนักงานเจ้าหน้าที่ในระยะไม่น้อยกว่า 3 เมตร


การปฏิบัติตามกฎจราจรของคนเดินเท้า                  
คนไทยทุกคนต้องรู้การปฏิบัติตนตามกฎจราจรของคนเดินเท้า คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่เคยเดินข้ามถนนหรือไม่เคยเดินบนถนน โดยเฉพาะนักเรียนจะต้องเดินทางไปโรงเรียนทุกวัน จะต้องรู้ข้อปฏิบัติตามกฎจราจรของคนเดินเท้าดังนี้
     1. ทางใดที่มีทางเท้าหรือไหล่ทางอยู่ข้างทางเดินรถให้คนเดินเท้าเดินบนทางเท้าหรือไหล่ทาง ถ้าทางนั้นไม่มีทางเท้าอยู่ข้างทางเดินรถให้เดินริมทางด้านขวาของตน            
     2. ภายในระยะไม่เกิน 100 เมตรนับจากทางข้าม ห้ามคนเดินเท้าข้ามนอกทางข้าม    
     3. คนเดินเท้าซึ่งประสงค์จะข้ามทางเดินรถในทางข้ามที่มีไฟสัญญาณจราจรควบคุมคนเดินเท้า ให้ปฏิบัติตามไฟสัญญาณจราจรที่ปรากฏต่อหน้า ดังต่อไปนี้                      
          1) เมื่อมีสัญญาณจราจรไฟสีแดง ไม่ว่าจะมีรูปหรือข้อความเป็นการห้ามมิให้คนเดินเท้าข้ามทางเดินรถด้วยหรือไม่ก็ตาม ให้คนเดินเท้าหยุดรออยู่บนทางเท้าบนเกาะแบ่งทางเดินรถหรือในเขตปลอดภัย เว้นแต่ทางใดที่ไม่มีทางเท้าให้หยุดรอบนไหล่ทางหรือขอบทาง                     
          2) เมื่อมีสัญญาณจราจรไฟสีเขียว ไม่ว่าจะมีรูปหรือข้อความเป็นการอนุญาตให้คนเดินเท้าข้าทางเดินรถด้วยหรือไม่ก็ตาม ให้คนเดินเท้าข้ามทางเดินรถได้                
          3) เมื่อมีสัญญาณจราจรไฟสีเขียวกะพริบทางด้านใดของทาง ให้คนเดินเท้าที่ยังไม่ได้ข้าทางเดินรถหยุดรอบนทางเท้า บนเกาะแบ่งทางเดินรถหรือในเขตปลอดภัย แต่ถ้ากำลังข้ามทางเดินรถ ให้ข้าทางเดินรถโดยเร็ว                
     4. คนเดินเท้าซึ่งประสงค์จะข้ามทางเดินรถในทางข้าม หรือทางร่วมทางแยกที่มีสัญญาณจราจรควบคุมการใช้ทาง ให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้           
          1) เมื่อมีสัญญาณจราจรไฟสีแดงให้รถหยุดทางด้านของทาง ให้คนเดินเท้าข้ามทางเดินรถตามที่รถหยุดนั้น และต้องข้ามทางเดินรถภายในทางข้าม                          
          2) เมื่อสัญญาณจราจรไฟสีเขียวให้รถผ่านทางด้านใดของทางห้ามคนเดินเท้าข้ามทางเดินรถด้านนั้น
          3) เมื่อมีสัญญาณจราจรไฟสีเหลืองอำพันกะพริบทางด้านใดของทางให้คนเดินเท้าที่ยังไม่ได้ข้ามทางเดินรถ หยุดรอบนทางเท้าบนเกาะแบ่งทางเดินรถหรือในเขตปลอดภัย แต่ถ้ากำลังข้ามทางเดินรถอยู่ในทางข้ามให้ข้ามทางเดินรถโดยเร็ว      
     5. ห้ามมิให้ผู้ใดเดินแถว เดินเป็นขบวนแห่ หรือเดินเป็นขบวนใดๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร เว้นแต่         
          1) เป็นแถวทหารหรือตำรวจที่มีผู้ควบคุมตามระเบียบแบบแผน                  
          2) แถวหรือขบวนแห่ หรือขบวนใดๆ ที่เจ้าพนักงานจราจรได้อนุญาตและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานจรากำหนด


การปฏิบัติตามกฎจราจรของผู้ขับขี่รถจักรยาน
     1. ทางใดที่ได้จัดทำไว้สำหรับรถจักรยาน ผู้ขับขี่รถจักรยานต้องขับขี่ในทางนั้น
     2. รถจักรยานที่ใช้ในทางเดินรถ ไหล่ทาง หรือทางที่จัดไว้สำหรับรถจักรยาน ผู้ขับขี่รถจักรยานต้องจัดให้มี
          1) กระดั่งที่ให้สัญญาณได้ยินได้ในระยะไม่น้อยกว่า 30 เมตร
          2) เครื่องห้ามล้อที่ใช้การได้ดี เมื่อใช้สามารถทำให้รถจักรยานหยุดได้ทันที
          3) โคมไฟติดหน้ารถจักรยานแสงขาวไม่น้อยกว่า 1 ดวง ที่ให้แสงไฟส่องตรงไปข้างหน้า เห็นพื้นทางได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 15 เมตร และอยู่ในระดับต่ำกว่าสายตาของผู้ขับขี่ซึ่งขับรถสวนมา
          4) โคมไฟติดหน้ารถจักรยานแสงแดงไม่น้อยกว่า 1 ดวง ที่ให้แสงไฟส่องตรงไปข้างหลังหรือวัตถุสะท้อนแสงสีแดงแทน ซึ่งเมื่อถูกไฟส่องให้มีแสงสะท้อน
     3. ผู้ขับขี่รถจักรยานต้องขับให้ชิดขอบทางด้านซ้ายของทางเดินรถ ไหล่ทางหรือทางที่จัดทำให้สำหรับรถจักรยานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในกรณีที่มีช่องเดินรถประจำทางด้านซ้ายสุดของทางเดินรถ ต้องขับขี่จักรยานให้ชิดช่องเดินรถประจำทางนั้น
     4. ในทางเดินรถ ไหล่ทาง หรือทางที่จัดทำไว้สำหรับรถจักรยาน ห้ามผู้ขับขี่รถจักรยานปฏิบัติดังนี้              
           1) ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจจะเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
           2) ขับรถโดยไม่จับคันบังคับรถ                          
           3) ขับขนานกันเกินสอง เว้นแต่ขับในทางที่จัดไว้สำหรับรถจักรยาน                        
           4) ขับโดยนั่งบนที่อื่นอันมิใช่ที่นั่งที่จัดไว้เป็นที่นั่งตามปกติ
           5) ขับโดยบรรทุกบุคคลอื่น เว้นแต่รถจักรยานสามล้อมสำหรับบรรทุกคน ทั้งนี้ตามเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานจราจรกำหนด
           6) บรรทุกหรือถือสิ่งของ หีบห่อ หรือของใดๆในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจับคันบังคับรถหรืออันอาจจะเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน                          
           7) เกาะหรือพ่วงรถอื่นที่กำลังแล่นอยู่


รถที่ไม่ควรนำมาใช้
     1. รถที่มีสภาพที่ไม่มั่นคงแข็งแรง มีส่วนควบอุปกรณ์ไม่ครบถ้วนตามที่กำหนด หรืออาจเกิดอันตราย หรือ เสื่อมเสียสุขภาพอนามัยแก่ผู้ใช้รถ คนโดยสารหรือประชาชน เช่น มีโคมไฟหน้าหรือโคมท้ายชำรุดรถที่มีเครื่องห้ามล้อชำรุด รถที่มีเสียงดังเกิน 85 เดซิเบล รถที่มีควันดำเกินเกณฑ์ที่ทาง ราชการกำหนด รถที่ไม่มีกระจกด้านหน้า เป็นต้น
     2. รถที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน (ไม่ว่าจะ 1 หรือ 2 แผ่นป้าย) ไม่ติดเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีหรื เครื่องหมายอื่น ๆ ที่กฎหมายที่เกี่ยวข้อกับรถกำหนด
     3. รถที่มีเสียงอื้ออึงหรือมีสิ่งลากถูไปบนทางเดินรถ
     4. รถที่มีล้อหรือส่วนที่สัมผัสกับผิวทางที่ไม่ใช่ยาง ยกเว้น รถที่ใช้ในราชการสงคราหรือรถที่ใช้ใน ราชการตำรวจ
     5. รถที่มีเสียงแตรได้ยินในระยะน้อยกว่า 60 เมตร
     6. รถที่ผู้ขับขี่ยอมให้ผู้อื่นนั่งที่นั่งแถวหน้าเกินกว่า 2 คน (แถวด้านหน้าห้ามนั่งเกินกว่า 2 คน โดยรวมคน ขับด้วย)
     7. รถที่ไม่ได้เสียภาษีประจำปี
     8. รถที่ใช้แผ่นป้ายที่ทำขึ้นเอง

ข้อห้ามขอผู้ขับรถ
     1. ห้ามอนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตขับรถขับรถของตน
     2. ห้ามใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถที่จัดทำขึ้นเอง
     3. ห้ามให้ผู้อื่นใช้ใบอนุญาตขับรถของตน
     4. ห้ามใช้รถที่ยังไม่ได้จดทะเบียน

บริเวณที่ห้ามกลับรถ
     1. ในทางเดินรถที่สวนทางกันได้ห้ามกลับรถในขณะที่มีรถอื่นสวนทางมาหรือตามมาในระยะน้อยกว่า 100 เมตร
     2. ในเขตปลอดภัยหรือคับขัน
     3. บนสะพานหรือในระยะ 100 เมตร จากทางราบของเชิงสะพาน
     4. บริเวณทางร่วมทางแยก เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรอนุญาตให้กลับรถได้
     5. บริเวณที่มีเครื่องหมายห้ามกลับรถ

เครื่องหมายห้ามกลับรถ

บริเวณใดห้ามแซง
     1. ห้ามแซงด้านซ้าย เว้นแต่ รถที่ถูกแซมกำลังเลี้ยวขวาหรือให้สัญญาณจะเลี้ยวขวา ทางเดินรถนั้นได้จัดแบ่งเป็นช่อทางเดินรถในทิศทางเดี่ยวกันตั้งแต่ 2 ช่องทางขึ้นไป
     2. ห้ามแซงเมื่อรถกำลังขึ้นทางชัน ขึ้นสะพาน หรืออยู่ใกล้ทางโค้งเว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรให้แซงได้
     3. ห้ามแซมภายในระยะ 30 เมตรก่อนถึงทางข้าม ทางร่วม ทางแยก วงเวียนหรือเกาะที่สร้างไว้หรือทางเดินรถที่ตัดข้าทางรถไฟ
     4. ห้ามแซมเมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่น หรือควัน จะทำให้ไม่อาจเห็นทางข้างได้ในระยะ 60 เมตร
     5. ห้ามแซงเมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย
     6. ห้ามแซงล้ำเข้าไปในช่องเดินรถประจำทาง
     7. ห้ามแซมในบริเวณที่มีเส้นแบ่งช่องการเดินรถเป็นเส้นทึบ

เครื่องหมายห้ามแซง
การให้สัญญาณด้วยมือและแขนของผู้ขับขี่
     1. เมื่อจะลดความเร็วของรถให้ผู้ขับขี่ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และโบกมือขึ้นลงหลายครั้ง
     2. เมื่อหยุดรถ ให้ผู้ขับขี่ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ยกแขนขวาท่อนล่างตั้งฉากกับแขนท่อนบน และตั้งฝ่ามือขึ้น
     3. เมื่อจะให้รถคันอื่นผ่านหรือแซงขึ้นหน้า ให้ผู้ขับขี่ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และโบกมือไปทางข้างหน้าหลายครั้ง
     4. เมื่อจะเลี้ยวขวา หรือเปลี่ยนช่องเดินรถไปทางขวา ให้ผู้ขับขี่ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่
     5. เมื่อจะเลี้ยวซ้าย หรือเปลี่ยนช่องเดินรถไปทางซ้าย ให้ผู้ขับขี่ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และงอข้อมือชูขึ้นโบกไปทางซ้ายหลายครั้ง

ในกรณีที่รถเสีย
ผู้ขับขี่จะต้อปฏิบัติดังนี้
     1. นำรถให้พ้นจากทางเดินรถโดยเร็วที่สุด
     2. ถ้าจำเป็นต้องจอดในทางเดินรถจะต้องจอดรถในลักษณะที่ไม่กีดขวางการจราจรและแสดงเครื่องหมายดังนี้
           2.1 ในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาลให้ใช้สัญญาณไฟกะพริบสีเหลืองอัน สีแดง หรือสีขาวที่ติดอยู่ด้านหน้าและท้ายรถทั้งด้านซ้ายและด้านขวา (ไฟฉุกเฉิน) หรือติดตั้งป้ายฉุกเฉินซึ่งมีลักษณะ เป็นรูปสามเหลี่ยมพื้นขาวขอบ แดง มีสัญลักษณ์ I สีดำตรงกลาง ทั้งด้านหน้าและท้ายรถ   
           2.2 นอกเขต 2.1 ให้แสดงเครื่องหมายป้ายฉุกเฉินซึ่งมีลักษณะ เป็นรูปสามเหลี่ยมพื้นขาวขอบ แดง มีสัญลักษณ์ I สีดำตรงกลาง ทั้งด้านหน้าและท้ายรถ โดยห่างจากรถไม่ต่ำกว่า 50 เมตร  และให้สัญญาณไฟกระพริบ (ไฟฉุกเฉิน) ในเวลาที่มองเห็นไม่ชัดเจรน แสงสว่างไม่เพียงพอและจอดได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง 


ข้อแนะนำในการขับขี่อย่างปลอดภัย
     1. ลดความเร็วในการขับขี่
คงทราบดีอยู่แล้วว่า ยิ่งขับช้าเท่าไหร่ ก็จะสามารถควบคุมรถได้มากขึ้นเท่านั้น และการควบคุมเป็นสิ่งสำคัญในการขับขี่ที่ดี แม้อยู่ในช่วงเวลาเร่งรีบคุณก็ไม่ควรลืมกฎง่ายๆนี้ เพราะมันเป็นกฎข้อแรกที่คุณสามารถทำเพื่อจะรักษารถคุณ และทำให้คุณปลอดภัย
     2. อย่าใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่
สำหรับคนที่ใช้โทรศัพท์ในขณะขับรถ เรามีอะไรจะบอกคนเหล่านั้นรวมทั้งตัวคุณด้วย การโทรหาเพื่อนคุณในระหว่างการขับขี่ ความเสี่ยงที่จะไปชนรถคันอื่นเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า เราขอแนะนำว่า เพื่อความปลอดภัยควรใช้โทรศัพท์หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว
     3. ควบคุมความหงุดหงิดเมื่อคุณกำลังขับรถ
เราทราบว่ามันง่ายมากที่จะเกิดความหงุดหงิด/หัวเสียเมื่ออยู่บนถนน แต่ต้องพยายามลดความโกรธเมื่อคุณกำลังขับรถ เพราะนี่เป็นสาเหตุหนึ่งให้เกิดอุบัติเหตุได้ พยายามควบคุมมันให้ได้จนกว่าจะถึงจุดหมาย
     4. ไม่ควรมีวัตถุแหลมคม เก็บอยู่ในรถ
หากเกิดอุบัติเหตุ คุณย่อมต้องการความปลอดภัยและอยากให้มั่นใจว่าจะไม่มีสิ่งใดมาทำอันตรายคุณอีก ดังนั้นจึงไม่ควรเก็บวัตถุแหลมคม เช่น ปากกา,กรรไกร หรือวัตถุแหลมคมอื่น ไม่ควรจะเก็บอยู่ในรถ
     5. "กฎ 2 วินาที" เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่เกิดจากความผิดพลาดจากรถคันอื่น
อย่าหวังอะไรจากเพื่อนร่วมทางกับคุณนอกจากปัญหา ถ้าคุณจำสิ่งนี้และทำตาม คุณจะสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ไม่คาดคิดต่างๆได้ เราขอแนะนำ "กฎ 2 วินาที " เมื่อคุณต้องการจะแซงรถคันหน้า ให้ใช้เทคนิคการสังเกตสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น เครื่องหมายหยุด, สะพาน, ไฟถนน ซึ่งรถคันหน้าขับผ่าน เพื่อความปลอดภัยจงแน่ใจว่าเขาขับผ่านสิ่งเหล่านั้นไปก่อนที่คุณจะแซงอย่างน้อย 2 วินาที อย่าไปมองนาฬิกา แต่ให้นับ "หนึ่งมิสซิบซิบปี้ สองมิสซิบซิบปี้" สิ่งนี้จะช่วยบอกจังหวะที่เหมาะสมในการแซง ทั้งยังช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า
      6.เมาไม่ขับ
เราต้องเน้นกฎนี้กว่าข้ออื่นๆ เนื่องจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แล้วขับรถเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำโดยเด็ดขาด และหากคุณเห็นคนขับคนอื่นดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น ให้หลีกห่าง และถ้าเป็นไปได้ ให้แจ้งตำรวจ

กฎหมายการจราจรเพื่อความปลอดภัย พรบ.จราจร 2522
หมวกนิรภัย มาตรา 112 แก้ไขเพิ่มเติมจาก 2550   
     1. ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และคนโดยสาร ต้องสวมหมวกนิรภัย
     2. ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ฯ ขับในขณะที่คนโดยสารมิไดสวมหมวกนิรภัย
     3. ลักษณะหมวก และวิธีการใช้ เป็นไปตามกฎกระทรวง
     4. ยกเว้น พระภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวชผู้นับถือศาสนาอื่นที่ใช้ผ้าโพก

เข็มขัดนิรภัย มาตรา 123 
     1. ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถยนต์ยอมให้ผู้อื่นนั่งในตอนหน้าแถวเดียวกับที่นั่งผู้ขับขี่เกินสองคน
     2. ผู้ขับขี่ต้องรัดเข็มขัดนิรภัย และต้องจัดให้คนโดยสารที่นั่งตอนหน้าแถวเดียวกับผู้ขับขี่รัดเข็มขัดขณะโดยสารรถยนต์  และคนโดยสารรถยนต์ดังกล่าวต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย

โทรไม่ขับ มาตรา 43-9 
ห้ามมิให้ผู้ใดขับรถ ในขณะใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่  เว้นแต่ใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา  โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น

อัตราโทษความผิดจากอุบัติเหตุ


    
อ้างอิง
http://phuket.dlt.go.th/data/law3.htm
http://www.castrol.com/castrol/genericarticle.do?categoryId=82937816&contentId=7006166
http://www.trafficpolice.go.th/law.php
http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/1861-
       00/lopburi.dlt.go.th/downloads/doc/02.pdf‎





วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แนะนำบล็อก

บล็อกนี้เป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอเรื่อง
การจราจร การใช้บริการรถไฟฟ้า และกติกาการแข่งขันลีลาศ
ซึ่งอยู่ในรายวิชาสุขศึกษาและพละศึกษา 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556

คณะผู้จัดทำได้แก่

นายภูริณัฐ           แซ่ฟู                        เลขที่ 12
นายณัฐภพ          หลักดี                      เลขที่ 15
นายณัฐสิษฐ์        บุญรัตนบัณฑิต         เลขที่ 16
นายภัทรพงษ์       สว่างใจ                    เลขที่ 19
นายพชร              เตี่ยมังกรพันธุ์           เลขที่ 25

นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์รุ่นที่ 21