เกณฑ์การตัดสิน
1.ข้อในการวินิจฉัย ( Fields of Adjudication )
1.1 เวลาของจังหวะ และพื้นฐานของจังหวะ ( Timing and Basic Rhythm )
1.2 ทรงของลำตัว ( Body Line )
1.3 การเคลื่อนไหว ( Movement )
1.4 การแสดงที่บอกจังหวะ ( Rhythmic Interpretation )
1.5 การใช้เท้า ( Foot Work )
ในการเต้นรำทุกประเภท เวลาของจังหวะและพื้นฐานของจังหวะ จะใช้เป็นขั้นตอนแรกที่ใช้ประกอบคำวินิจฉัย ครอบคลุมข้ออื่นๆ ถ้าคู่แข่งขันทำผิดซ้ำๆ กันในข้อนี้ จะต้องถูกตัดสินให้อยู่ในตำแหน่งที่สุดท้าย ในจังหวะนั้นๆ สำหรับข้อวินิจฉัย 2 ถึง 5 มีความสำคัญเท่าๆกัน ซึ่งไม่มีข้อใดที่มีความสำคัญมากไปกว่ากัน
กฏเกณฑ์พื้นฐาน ( Basic Rules )
การวินิจฉัยคู่แข่งขัน จะเริ่มต้นทันทีที่เข้าสู่การเตรียมพร้อมที่จะเต้น และสิ้นสุดลงเมื่อดนตรีหยุด กรรมการจะต้องเช็คผลการให้คะแนน ที่ได้ให้ไปแล้วทั้งหมด และแก้ไขให้ถูกต้องได้ถ้าจำเป็น หากคู่แข่งขันไม่ดำเนินการเต้นอย่างต่อเนื่อง จะถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งสุดท้าย และถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตอนท้าย คู่แข่งขันจะถูกตัดสินว่าขาดคุณสมบัติ (เป็นโมฆะ) คู่แข่งขันจะถูกวินิจฉัยในการแสดงและการเต้น แต่ละจังหวะแยกออกจากกัน การเต้นของจังหวะที่ได้ตัดสินไปแล้วนั้น ไม่นำมารวมวินิจฉัยรวมกับจังหวะอื่น กรรมการตัดสินอยู่ภายใต้ข้อบังคับไม่ให้ชี้แจงเหตุผล ข้อวินิจฉัยของคู่แข่งขันที่ได้ให้ไปแล้ว ระหว่างการแข่งขันหรือเวลาหยุดพักช่วงการแข่งขัน กรรมการตัดสินจะไม่วิจารณ์หรือพูดคุยปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการเต้นหรือการแสดงต่างๆ กับผู้เข้าแข่งขันทั้งสิ้น
การอธิบายเกี่ยวกับข้อที่ใช้ประกอบคำวินิจฉัย
1.เวลาและพื้นฐานของจังหวะ ( Timing and Basic Rhythm )
ผู้ตัดสินต้องตัดสินว่า คู่แข่งขันเต้นถูกต้องตรงกับจังหวะดนตรี และพื้นฐานของจังหวะหรือไม่? การเต้น "ตรงจังหวะ" หมายความถึง การเต้นที่ไม่ก่อนหรือหลังจังหวะดนตรี แต่ตรงกับจังหวะดนตรีพอดี
พื้นฐานของจังหวะ ( Basic Rhythm ) หมายความถึง การแสดงการเต้น ภายในเวลาที่จัดไว้ให้เช่น (ช้า หรือ เร็ว) และรักษาความสัมพันธ์ของเวลาการเต้น จากท่าหนึ่งไปยังอีกท่าหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
ผลของการเต้นไม่ตรงจังหวะดนตรี และพื้นฐานจังหวะ คู่แข่งขันจะได้คะแนนต่ำสุดในจังหวะที่ทำการเต้น การกระทำผิดข้อนี้ ไม่สามารถทดแทนที่ดีในข้อประกอบการวินิจฉัยข้อ 2 ถึง 5 ได้
ถ้ามีคู่แข่งขันหลายคู่เต้นไม่ตรงจังหวะ ข้อวินิจฉัย 2 ถึง 5 อาจถูกนำมาใช้ประกอบการวินิจฉัย ในการจัดอันดับขั้นของคู่แข่งขันเหล่านั้น คู่แข่งขันที่ไม่ทำผิดจังหวะและพื้นฐานของจังหวะ จะถูกจัดอันดับให้อยู่เหนือคู่อื่น
2. ทรงของลำตัว ( Body Line )
ทรงหรือแนวเส้นของตัว มีความสัมพันธ์ต่อคู่แข่งขันทั้งสองร่วมกัน ในระหว่างการเคลื่อนไหว และการทำท่าเต้นต่างๆ ของการเต้นในแต่ละจังหวะ
การวินิจฉัยท่าต่างๆ ที่เกี่ยวกับทรงของตัวมี ดังนี้
1. เส้นแขน ( Arm Line )
2. เส้นหลัง ( Back Line )
3. เส้นหัวไหล่ ( Shoulder Line )
4. เส้นสะโพก ( Hip Line )
5. เส้นขา ( Leg Line )
6. เส้นคอและศีรษะ ( Neck and Head Line )
7. เส้นขวาและซ้าย ( Right and Left Side Line )
3. การเคลื่อนไหว ( Movement )
กรรมการตัดสิน จะต้องตัดสินจากการเคลื่อนไหวที่รักษาลักษณะ และเอกลักษณ์ของจังหวะที่เต้น (Charecter of Dance) และพิจารณาจากการขึ้นและลง (Rising and Lowering) รวมทั้งการสวิง (Swing) และการทรงตัวที่สมดุลย์ของทั้งคู่ การเต้นที่มีแรงสวิงมากกว่า จะได้คะแนนที่สูงกว่า แต่ต้องประกอบด้วยการทรงตัวที่สมดุลย์ (balance) การเต้นรำในแบบ Latin American การเคลื่อนไหวและการใช้สะโพก ( Hip Movement ) จะถูกให้เป็นหลักในการประเมิน
4. การแสดงที่บอกจังหวะ ( Rhythmic Interpretation )
กรรมการตัดสินจะประเมินการ ตามจังหวะของการเต้น ที่แสดงให้เห็นถึงศิลปะการออกแบบของกลุ่มสเต็ป ( Artistic Choreography ) และดนตรีที่ใช้ประกอบ ( Musical Involvement ) ของทั้งคู่ การเปลี่ยนจังหวะเพื่อให้สอดคล้องกับดนตรี จะต้องระวังความผิดพลาดเกี่ยวกับเวลา เพราะจะถูกตัดสินให้ผิดตามส่วนของ "เวลา" และพื้นฐานของจังหวะ ( Timing and Basic Rhythm )
5. การใช้เท้า ( Foot Work )
ผู้ให้การวินิจฉัยจะต้องประเมินจากการ ใช้ปุ่มโคนหัวแม่เท้าที่ถูกต้อง รวมถึงการใช้ส้นเท้าและปลายเท้า การเคลื่อนไหวและท่าทางต่างๆ เช่น การชิดเท้า และการควบคุมการเคลื่อนไหวของเท้า
การแบ่งระดับชั้นของผู้เข้าแข่งขัน
ในกลุ่มนักกีฬาลีลาศที่เข้าร่วมการแข่งขันถูกแบ่งออกตามกลุ่มอายุและระบบแบ่งชั้น แล้วจะถูกจัดให้แล้วแต่ความตกลงใจว่า จะเข้าร่วมในชั้นใด
การแบ่งตามกลุ่มอายุ ( Age Groups )
รุ่นยุวชน ( Juveniles ) คือ ผู้เข้าแข่งขัน ที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี
รุ่นเด็ก ( Juniors) คือ ผู้เข้าแข่งขัน ที่มีอายุสูงกว่า 12 ปี แต่ไม่เกิน 16 ปี
รุ่นหนุ่ม สาว( Youths) คือ ผู้เข้าแข่งขัน ที่มีอายุสูงกว่า 16 ปี แต่ไม่เกิน 19 ปี
รุ่นผู้ใหญ่ ( Adults) ระดับชั้นนี้ ยังแยกย่อยไปตามกลุ่มอายุได้อีก อาทิเช่น 16 - 35ปี , 35 - 50ปี หรือ 60 ปี
การแบ่งตามระดับชั้น ( Grading )
แต่ละประเทศจะมีระบบที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกประเภทมีการประเมินการแสดงออก และโปรโมทให้ระดับหรือชั้นสูงขึ้น คำอธิบายข้างล่าง เป็นระบบการแบ่งชั้นในบางส่วนของยุโรป
คู่แข่งขัน เริ่มต้นจากขั้นต่ำสุด
ชั้น D หรือ C คู่แข่งขันในระดับนี้ เต้นได้แต่สเต็ปพื้นฐานเท่านั้น
ชั้น A หรือ B การเลื่อนชั้นจะต้องเกิดจากการสะสมคะแนน ที่ได้จากการแข่งขัน
ชั้น S คู่แข่งขันระดับสูงสุด ถือเป็นมาตรฐานระดับนานาชาติ
การแข่งขันชิงชนะเลิศระดับนานาชาติ ( International Championship ) ถูกจัดขึ้นทุกปี และผู้ชนะเลิศในแต่ละชั้น จะได้รับการเลื่อนชั้น ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ผู้ชนะเลิศในระดับสูงสุด จะถูกจารึกให้เป็นผู้ชนะเลิศแห่งชาติ ระดับชั้นของการลีลาศแต่ละแบบ จะไม่มีผลต่อการเลื่อนชั้นของแบบอื่น
ระบบการพิจารณาตรวจเทียบคะแนน ( Skating System ) ของการแข่งขันกีฬาลีลาศ
ระบบมาตรฐานของการให้คะแนนและการวิเคราะห์คะแนน มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการแข่งขันกีฬาลีลาศ สภารัฐบาลนานาชาติ ซึ่งควบคุมการแข่งขันของนักกีฬาลีลาศ ทั้งของอาชีพและสมัครเล่นระบุว่า ควรใช้ระบบสเก็ตติ้ง ( Skating System ) พื้นฐานของระบบ คือ การใช้เสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก ( Majority ) ( ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกีฬาสเก็ตน้ำแข็ง )
คะแนนตัดสินจากกรรมการจะถูกผ่านไปให้คณะผู้ให้การพิจารณาตรวจเทียบคะแนน เพื่อจัดอันดับของผู้เข้าแข่งขันให้สมบูรณ์ ต้องมีความระมัดระวัง เพราะไม่ใช่เป็นการตรวจเพียงครั้งเดียว เนื่องจากการมีคณะกรรมการหลายคน ซึ่งแต่ละคนต่างใช้วิจารณญาณของตนเอง จึงเกิดมีความเห็นที่แตกต่าง จึงมีความเห็นแตกต่างของผู้ตัดสิน รวมทั้งอาจมีคะแนนที่เท่ากัน ซึ่งต้องใช้รายละเอียดของระบบสเก็ตติ้งเป็นข้อวินิจฉัย ข้อเรียกร้องพิเศษของการแข่งขัน ของสหพันธ์ลีลาศนานาชาติ IDSF ถือในรอบสุดท้าย ''Final Round" คะแนนจะต้องเปิดเผย (Visaul Marking)
วิธีการให้คะแนนของคณะกรรมการตัดสิน
ในรอบแรก (First Round) ถึงรอบรองชนะเลิศ (Semi Final) กรรมการตัดสินจะให้คะแนนโดยการคัดเข้ารอบ (Marking) โดยการกาลงบนหมายเลขที่ต้องการในใบให้คะแนน (Marking Sheet) ยกตัวอย่างเช่น "รอบรองชนะเลิศ" ซึ่งมีคู่เข้าแข่งขันทั้งหมดจำนวน 12 คู่ จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม (2 Heats) กลุ่มละ 6 คู่ กรรมการจะทำการตัดเข้ารอบ เพื่อเข้าแข่งขันในรอบสุดท้าย (Final) จำนวน 6 คู่ โดยเลือกจากคู่ที่เด่นที่สุดในสายตา เข้ามาทีละคู่จนได้ครบ 6 คู่ตามจำนวน คู่แข่งขันที่ไม่ได้รับการคัดเลือกจะถูกตัดทิ้งไป
ในรอบสุดท้าย ซึ่งเป็นการให้คะแนนแบบเปิดเผย (Visual Marking) การให้คะแนนจะเป็นการให้ลำดับที่ (Placing) กรรมการจะเริ่มมองหาคู่ที่ด้อยที่สุด คือ อันดับที่ 6 ก่อน แล้วต่อมาเป็นอันดับที่ 5 , 4 , 3 , 2 และ 1 ตามลำดับ หลังจากที่การแข่งขันสิ้นสุดลงในแต่ละจังหวะ กรรมการจะชูป้ายคะแนนของตน เพื่อโชว์คะแนนที่ให้ไว้กับคู่แข่งขันในแต่ละคู่ หมายเลข 6 คืออันดับสุดท้าย และหมายเลข 1 คือผู้ชนะเลิศ
ท่านผู้ชมอาจฝึกการให้คะแนน ตามวิธีการที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ โดยศึกษาประวัติความเป็นมาและเอกลักษณ์เฉพาะของการเต้นรำ ในแต่ละประเภท แต่ละจังหวะ และเกณฑ์การตัดสินของสหพันธ์กีฬาลีลาศนานาชาติ แล้วลองเทียบเคียงดูกับผลของการแข่งขันกีฬาลีลาศ ซึ่งจะทำให้ได้รับความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น
เครื่องแต่งกายนักกีฬาลีลาศ
ความแตกต่างระหว่างประเภท Standard กับ Latin American
หลายคนที่รู้จักการลีลาศมานาน อาจเกิดคำถามในใจประการหนึ่ง เกี่ยวกับการแต่งกายของฝ่ายหญิง ว่าทำไมจึงแตกต่างกัน ระหว่าง 2 ประเภทของการเต้นรำ คำตอบก็คือ การแต่งกายของฝ่ายหญิง ประเภท Standard นั้น ต้องการความหรูหราและสง่างาม ตามลักษณะการเคลื่อนไหว ท่วงท่าที่ดูแล้วนุ่มนวล พริ้วไหวไปตามจังหวะโรแมนติกของลีลาศสไตล์นี้ และเน้นการเคลื่อนไหวที่เป็นคู่ เครื่องแต่งกายฝ่ายหญิงที่ปรากฏ ส่วนใหญ่จึงมีขนนก ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนพลิ้ว ส่วนฝ่ายชายนั้น เน้นความสุภาพสง่างาม จึงแต่งเป็นทักซิโด
ส่วนการแต่งกายประเภท Latin American นั้น ต้องการความคล่องตัว กระฉับกระเฉง ตามท่วงทำนองจังหวะที่เร้าใจ สนุกสนาน และเน้นให้เห็นการเคลื่อนไหว การใช้กล้ามเนื้อของลำตัว โดยเฉพาะสะโพก และ Lines ของแขน ขา เครื่องแต่งกายที่ปรากฏ จึงดูกระชับแนบชิดลำตัวเป็นส่วนใหญ่ และไม่รุ่มร่าม ส่วนการแต่งกายของฝ่ายชายนั้น เน้นความคล่องตัวเช่นกัน และใช้เฉพาะสีดำหรือกรมท่าเข้มเป็นหลัก
ตัวอย่างการแข่งขันลีลาศ
แต่ละประเทศจะมีระบบที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกประเภทมีการประเมินการแสดงออก และโปรโมทให้ระดับหรือชั้นสูงขึ้น คำอธิบายข้างล่าง เป็นระบบการแบ่งชั้นในบางส่วนของยุโรป
คู่แข่งขัน เริ่มต้นจากขั้นต่ำสุด
ชั้น D หรือ C คู่แข่งขันในระดับนี้ เต้นได้แต่สเต็ปพื้นฐานเท่านั้น
ชั้น A หรือ B การเลื่อนชั้นจะต้องเกิดจากการสะสมคะแนน ที่ได้จากการแข่งขัน
ชั้น S คู่แข่งขันระดับสูงสุด ถือเป็นมาตรฐานระดับนานาชาติ
การแข่งขันชิงชนะเลิศระดับนานาชาติ ( International Championship ) ถูกจัดขึ้นทุกปี และผู้ชนะเลิศในแต่ละชั้น จะได้รับการเลื่อนชั้น ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ผู้ชนะเลิศในระดับสูงสุด จะถูกจารึกให้เป็นผู้ชนะเลิศแห่งชาติ ระดับชั้นของการลีลาศแต่ละแบบ จะไม่มีผลต่อการเลื่อนชั้นของแบบอื่น
ระบบการพิจารณาตรวจเทียบคะแนน ( Skating System ) ของการแข่งขันกีฬาลีลาศ
ระบบมาตรฐานของการให้คะแนนและการวิเคราะห์คะแนน มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการแข่งขันกีฬาลีลาศ สภารัฐบาลนานาชาติ ซึ่งควบคุมการแข่งขันของนักกีฬาลีลาศ ทั้งของอาชีพและสมัครเล่นระบุว่า ควรใช้ระบบสเก็ตติ้ง ( Skating System ) พื้นฐานของระบบ คือ การใช้เสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก ( Majority ) ( ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกีฬาสเก็ตน้ำแข็ง )
คะแนนตัดสินจากกรรมการจะถูกผ่านไปให้คณะผู้ให้การพิจารณาตรวจเทียบคะแนน เพื่อจัดอันดับของผู้เข้าแข่งขันให้สมบูรณ์ ต้องมีความระมัดระวัง เพราะไม่ใช่เป็นการตรวจเพียงครั้งเดียว เนื่องจากการมีคณะกรรมการหลายคน ซึ่งแต่ละคนต่างใช้วิจารณญาณของตนเอง จึงเกิดมีความเห็นที่แตกต่าง จึงมีความเห็นแตกต่างของผู้ตัดสิน รวมทั้งอาจมีคะแนนที่เท่ากัน ซึ่งต้องใช้รายละเอียดของระบบสเก็ตติ้งเป็นข้อวินิจฉัย ข้อเรียกร้องพิเศษของการแข่งขัน ของสหพันธ์ลีลาศนานาชาติ IDSF ถือในรอบสุดท้าย ''Final Round" คะแนนจะต้องเปิดเผย (Visaul Marking)
วิธีการให้คะแนนของคณะกรรมการตัดสิน
ในรอบแรก (First Round) ถึงรอบรองชนะเลิศ (Semi Final) กรรมการตัดสินจะให้คะแนนโดยการคัดเข้ารอบ (Marking) โดยการกาลงบนหมายเลขที่ต้องการในใบให้คะแนน (Marking Sheet) ยกตัวอย่างเช่น "รอบรองชนะเลิศ" ซึ่งมีคู่เข้าแข่งขันทั้งหมดจำนวน 12 คู่ จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม (2 Heats) กลุ่มละ 6 คู่ กรรมการจะทำการตัดเข้ารอบ เพื่อเข้าแข่งขันในรอบสุดท้าย (Final) จำนวน 6 คู่ โดยเลือกจากคู่ที่เด่นที่สุดในสายตา เข้ามาทีละคู่จนได้ครบ 6 คู่ตามจำนวน คู่แข่งขันที่ไม่ได้รับการคัดเลือกจะถูกตัดทิ้งไป
ในรอบสุดท้าย ซึ่งเป็นการให้คะแนนแบบเปิดเผย (Visual Marking) การให้คะแนนจะเป็นการให้ลำดับที่ (Placing) กรรมการจะเริ่มมองหาคู่ที่ด้อยที่สุด คือ อันดับที่ 6 ก่อน แล้วต่อมาเป็นอันดับที่ 5 , 4 , 3 , 2 และ 1 ตามลำดับ หลังจากที่การแข่งขันสิ้นสุดลงในแต่ละจังหวะ กรรมการจะชูป้ายคะแนนของตน เพื่อโชว์คะแนนที่ให้ไว้กับคู่แข่งขันในแต่ละคู่ หมายเลข 6 คืออันดับสุดท้าย และหมายเลข 1 คือผู้ชนะเลิศ
ท่านผู้ชมอาจฝึกการให้คะแนน ตามวิธีการที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ โดยศึกษาประวัติความเป็นมาและเอกลักษณ์เฉพาะของการเต้นรำ ในแต่ละประเภท แต่ละจังหวะ และเกณฑ์การตัดสินของสหพันธ์กีฬาลีลาศนานาชาติ แล้วลองเทียบเคียงดูกับผลของการแข่งขันกีฬาลีลาศ ซึ่งจะทำให้ได้รับความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น
เครื่องแต่งกายนักกีฬาลีลาศ
ความแตกต่างระหว่างประเภท Standard กับ Latin American
หลายคนที่รู้จักการลีลาศมานาน อาจเกิดคำถามในใจประการหนึ่ง เกี่ยวกับการแต่งกายของฝ่ายหญิง ว่าทำไมจึงแตกต่างกัน ระหว่าง 2 ประเภทของการเต้นรำ คำตอบก็คือ การแต่งกายของฝ่ายหญิง ประเภท Standard นั้น ต้องการความหรูหราและสง่างาม ตามลักษณะการเคลื่อนไหว ท่วงท่าที่ดูแล้วนุ่มนวล พริ้วไหวไปตามจังหวะโรแมนติกของลีลาศสไตล์นี้ และเน้นการเคลื่อนไหวที่เป็นคู่ เครื่องแต่งกายฝ่ายหญิงที่ปรากฏ ส่วนใหญ่จึงมีขนนก ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนพลิ้ว ส่วนฝ่ายชายนั้น เน้นความสุภาพสง่างาม จึงแต่งเป็นทักซิโด
![]() |
เครื่องแต่งกายประเภท Standard |
![]() |
เครื่องแต่งกายประเภท Latin American |
อ้างอิง
http://www.youtube.com/watch?v=0cYAOskFoBY
www.leelart.com/03rule/idsf/criteria%20for%20judging.htm
www.tdsa.or.th/04rules/criteria_for_judging.htm
http://www.youtube.com/watch?v=0cYAOskFoBY
www.leelart.com/03rule/idsf/criteria%20for%20judging.htm
www.tdsa.or.th/04rules/criteria_for_judging.htm
www.mwit.ac.th/~jat/contents/40206/Rule%20Dance.pdf
สล็อต น่าเล่น แตกจริง เล่นสล็อตออนไลน์ได้อย่างไม่ยากเย็นกับพวกเรา เว็บสล็อตชั้น 1 ของประเทศไทย ให้บริการด้วยความจริงใจ PG SLOT ปลอดภัย มั่นคง 100%
ตอบลบ